วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ย้อนรำลึก ๖ ตุลา มาเป็นบทเรียนในวันนี้

(ในมุมมองของทหาร "ขวาจัด")



๖ ตุลา กำลังฮิต เลยขอพูดถึงสักหน่อย ช่วงนั้นผมอายุวัยหนุ่มน้อย เป็นทหาร ดังนั้นผมขวาจัดแน่นอน
(เหมือนคุณเรือรบ) แต่หลังจาก ๖ ตุลาผมกลายเป็นซ้ายจัดไปพักหนึ่ง เพราะสงสารนักศึกษามาก
(จากที่เคยเกลียดมาก ก็เหตุผลเดียวกับที่ท่านเรือรบเกลียดนั่นแหละ)


ในวันนั้นเพื่อนๆทหารของผมมามุงดูทีวีถ่ายทอดสดเหตุการณ์รอบๆและในธรรมศาสตร์กันเนืองแน่น
พอเห็นการไล่เตะ ไล่ถีบ นศ. แต่ละที ก็เฮกันลั่น และเฮดังที่สุดก็ตอนจับนั่งยาง ตอกอก ส่วนผมเฮไม่ออก
แม้ผมจะเกลียด “คอมมิวนิสต์” เพียงไร ผมก็ยังมีใจยุติธรรมพอที่จะไม่อยากให้ทำกันแบบเลือดตกยางออก
แบบนี้ ในที่สุด ตอนนั่งยาง ตอกอก ผมก็ทนไม่ไหว ต้องวิ่งหนีกลุ่มเพื่อนแอบไปร้องไห้คนเดียวอยู่ในห้องน้ำ
ที่ผมใจอ่อนเป็นปลาซิวแบบนี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าแฟนสาวของผมเธอเป็นนิสิตจุฬาปี 2 พอดี
เรียนรัฐศาสตร์เสียด้วย และเธอก็เอียงซ้าย เราวิวาทะทางการเมืองมาโดยตลอด เธอชอบเอาหนังสือการเมือง
ฝ่ายซ้ายมาให้ผมอ่านเสมอ ส่วนผมก็เอาการเมืองฝ่ายขวาให้เธออ่านบ้างเหมือนกัน เช่น อาถรรพ์สยาม และ
พลับพลามาลี (ของ รัตนะ ยาวะประภาษ)

ในขณะโน้นและในขณะนี้ก็ตามผมยังคิดว่าความผิดของรัฐบาลไทยและชนชั้นนำของไทยในช่วงนั้นคือ

1)ไปเหมาโหลว่า สังคมนิยมทุกชนิดคือคอมมิวนิสต์เหมือนกัน ซึ่งความจริงไม่ใช่เลย และแม้แต่คอมมิวนิสต์
ก็ยังมีหลายแบบ และแม้เขาจะนิยมคอมฯ โดยไม่ได้กระทำการรุนแรงอะไร มันก็น่าจะเป็นสิทธิในการเชื่อ
ทำไมต้องประณามและปิดกั้นด้วยเล่า

2)ผู้นำรัฐบาลและพลเมืองไทยส่วนใหญ่ขาดเมตตาธรรม ใช้ความรุนแรงเข้าว่า ทั้งที่เป็นเมืองพุทธ และพวกนี้
ก็ไม่ใช่ใครอื่น ลูกหลานเราแท้ๆ อาจ “หลงผิด” ไปบ้างก็ควรดึงเขากลับด้วยเมตตา

3)เราเป็นลิ่วล้อเมกามากไป ที่เราเกลียดคอมฯจัดนั้นส่วนใหญ่ก็เกิดจากการปลุกผีโดยเมกานั่นเอง แต่เชื่อไหม
ว่าในเมกานั้นผมมาทราบภายหลังที่ไปเรียนที่นั่น ทราบว่าเขามีพรรคคอมมิวนิสต์โดยถูกกฎหมาย และ เขาส่งคนลง
สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีมาทุกยุคสมัยอีกด้วย (เพียงแต่ไม่ค่อยเป็นข่าว)

4)ปิดช่องทางการแสดงออกของพวกเขา แถมยังตั้งหน่วยงานขึ้นมาพิฆาต นี่ถ้าให้พวกเขามีช่องทางระบาย กล่าวคือ
ให้ตั้งพรรคการเมืองได้ ไม่มีกฎหมายคอมฯมาขวางกั้น (เหมือนเมกา) ก็คงหมดปัญหา เขาก็ตั้งมา มาสู้กันแบบเปิด
เผยซึ่งหน้า ดีเสียอีกจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร ถ้าประชาชนส่วนใหญ่เกลียดชัง ก็คงไม่มีใครเลือก ก็เฉาตายไปเอง


การไม่เปิดช่องให้เขาระบายแรงกดดันมันก็ระเบิดได้เสมอ ดังเช่นกรณีที่ทำกับสนธิที่ปลดรายการเขาออก เรื่องเล็กๆมัน
กลายเป็นชนวนโค่นล้มตนเองได้ ดังนั้นเราเรียนประวัติศาสตร์แล้วควรได้รับบทเรียน อย่าไปปิดกั้นการแสดงออกทาง
การเมืองเลยครับ ยิ่งลงใต้ดินยิ่งทวีพิษสงหลายเท่า ดูเหมือนว่ารัฐบาลชุดนี้ก็กำลังจะทำผิดซ้ำรอยเดิมอีกเพียงแต่คนละ
บริบทเท่านั้นเอง ตอนนั้นขวาพิฆาตซ้าย ตอนนี้ ขวามากพิฆาตขวาน้อย

วลีที่ผมผูกไว้แต่วัยกระทง : คนที่อยู่ตรงกลางจะถูกมองด้วยคนที่อยู่ทางขวาว่าอยู่ทางซ้ายและในทางกลับกันก็ใช่
ผมยังเชื่อเสมอว่าระบบ “ธรรมิกสังคมนิยม” ที่ท่านพุทธทาสภิกขุเสนอไว้ (และดูเหมือนว่าเป็นสิ่งเดียวกับที่
ท่านปรีดี พนมยงค์ ได้คิดและจะทำ) คือระบบที่จะช่วยประคองโลกให้อยู่ได้อย่างมีความสุขที่ยั่งยืน แต่อนิจจา
ท่านปรีดี ก็โดนขวาสุดโต่งพิฆาต ใส่ความ (มุสาวาทา) จนต้องไปตายอยู่นอกแผ่นดินแม่


***อ้างอิงจาก
http://www.oknation.net/blog/twitty/2008/02/24/entry-2

ไม่มีความคิดเห็น: