วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2550

กฎแห่งความเงียบเชียบ 10ข้อ:สรสิทธิ์ฯ

01. ..........

02. .........

03. ........

04. .......

05. ......

06. .....

07. ....

08. ...

09. ..

10. .

Field Music - In Context



MV เพลงนี้เป็นวิดิโอประเภทที่ต้องตั้งใจดูตั้งแต่แรกจนจบ
มือที่เห้นในวิดิโอเป็นของตากล้อง ชื่อ Chris Fenner
ผู้เป็นเพื่อนกับผู้กำกับ Dan Lowe ตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย
Dan ออกแบบภาพที่เราเห็นในตอนจบด้วยภาพที่ได้จาก internet
และไอเดียที่เขาได้จากวงดนตรีเอง ดังนั้น หลังจากที่ซ้อมและซ้อมเล่าอีกทั้งวัน
Chris ก็ลงมือวาด และน่าจะวาดเสร็จในเทคเดียวถ้าปากกาไม่หมึกหมด
ไปเสียก่อน การวาดภาพใช้เวลา 27นาที และเมื่อถ่ายเสร็จ Chrisก็ถึงกับ
ตะคริวกินมือจนแทบขยับไม่ได้เลย

ผู้กำกับ:Dan Lowe
สตูดิโอ:Partizan,London
ตัดต่อ:Dan Lowe
โพสต์โปรดั่กชั่น:Dan Lowe
ค่ายเพลง:Memphis Industries,London

***อ้างอิงจาก:เอกสารประกอบงาน antenna uk04 แจกฟรีในงาน

ในทัศนะของ สรสิทธิ์ฯ

MV ตัวนี้ข้าพเจ้าเคยได้ไปดูที่งาน antenna uk04 เมื่อปีที่แล้ว
ในความคิดของข้าพเจ้าวิธีการที่เห็นใน mv ตัวนี้ ก็นับได้ว่าเป็นวิธีการด้นสด
เพราะได้มีการตระเตรียมซ้อมมาล่วงหน้า และได้มาแสดง(วาด)จริงต่อหน้าวิดิโอ
โดยที่ไม่ได้มีกาารตัดต่อ หรือ ใช้สริง ช่วยใดใด ...ฮามะ

***อ้างอิงจาก:สรสิทธิ์ฯ

ด้นสดกับการออกแบบ???:ทัศนะของ สรสิทธิ์ฯ

ณ เวลานี้ ข้าพเจ้ากลับมาคิดถึงแนวทางของตนเองแล้ว...ไงดีจ๊ะ จะนำมันมาทำงานออกแบยังไง?"ความสับสนกับมนุษย์"เป็นของคู่กัน(ไม่น่าเลย)ห-แ-ง แหละ!!!เพราะงานออกแบบ มี ปัจจัยที่ต่างจากการเล่นดนตรี อยู่แล้นน!!! แต่ก็ใช้ว่าจะไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กันได้ซะเมื่อไหร่ เพราะยุคสมัยหลังสมัยใหม่เราอ้างได้เสมอ HAHA กร้ากกกๆ!!!

ดนตรีมีเงื่อนไขของเวลา และ การแสดงสดเป็นสิ่งที่นักดนตรีสามารถถ่ายทอดไปถึงผู้ชมได้ โดยที่สามารถอิ่มเอมทางความรู้สึกกันไปได้ทั้ง2ฝ่าย

งานออกแบบมีเงื่อนไขของเวลาเหมือนกัน แต่จะเป็นไปในขั้นตอนของการขัดเกลา,ปรับปรุง,เพิ่มเติมฯกะตัวงาน ซึ่งขั้นตอนเหล่านั้นจะอยู่เบื้องหลังผลสำเร็จของตัวงาน และ สิ่งที่ได้ผ่านการขัดเกลาและออกมาสู่สายตาผู้ชมนั้น เป็นสิ่งที่จะเกิดกับตัวผู้ชมเองโดยที่นักออกแบบไม่สามรถที่จะมายืนอธิบายอะไรได้

นิยามใหม่ " Improvisation " ( ตอนที่ 8 )

จากการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ระหว่างเรากับผู้ชี้ทาง ทำให้เราทั้งคู่ต่างนับถือกันเป็นอาจารย์
เราได้แนวคิดใหม่ๆจากเขาเยอะมาก จนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาพึ่งจบปริญญา สิ่งนี้ทำให้เรานึก
เสียดายเวลาที่ผ่านมา แต่เวลาที่เหลืออยู่ก็สามารถทำให้มันมีค่าได้ ถ้าเรารู้จักหยุดพิจารณาสิ่งที่
ผ่านมาและพึ่งเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ

“ ความมั่ว บนความไม่มั่ว “ คำนิยามความหมายของคำว่า “ Improvisation “
นั้น ผู้ชี้ทางเป็นผู้บัญญัติขึ้น แรกๆเราก็ไม่เห็นด้วย คำว่า “ มั่ว “ มันแรงเกินไป เพราะคำว่า
“ มั่ว “ หมายถึง “ ความไม่รู้ “ แต่สิ่งที่เราเล่น เราว่าเรารู้ ว่าเรากำลังเล่นอะไร ?
แล้วจะบอกว่า “ มั่ว “ ได้อย่างไร ?

เขาตอบกลับมาว่า “ มั่ว คือ ความไม่รู้ “ เมื่อเล่นด้วยความไม่รู้ ก็แสดงว่า เรามิได้ใช้หลักการ
หรือทฤษฎีในการเล่น หลักการหรือทฤษฎีเกิดขึ้นหลังจากเราเล่นผ่านไปแล้ว ๆ ไปคิดย้อนหลังว่าสิ่ง
ที่เล่นผ่านไปนั้น มันคืออะไรบ้าง ? ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ต้องใช้หลักการหรือทฤษฎีเข้าไปวิเคราะห์

การเล่น Improvise โดยที่คุณใช้หลักการหรือทฤษฎีเข้าไปร่วมขณะที่เล่นอยู่นั้น เช่น
รู้ว่าทางเดินคอร์ดเป็นอย่างไร ? สเกลที่จะนำมาเล่นใช้สเกลอะไรได้บ้าง ? จะใช้อาร์เปจิโออะไรดี ?เป็นต้น
วิธีการนี้เปรียบเสมือนการคิดก่อนเล่น หรือพูดง่ายๆก็คือ มีการวางแผนการเล่นไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นที่นิยมมากๆ
และฟังดูดีด้วย ! แต่...คุณจะโดนตีกรอบความคิดโดยที่คุณไมรู้ตัว มันก็ไม่ต่างกับการที่คุณเป็นนักพูดที่ร่าง
หัวข้อเอาไว้ล่วงหน้า หรือเล่นตลกที่เตรียมมุขไว้แล้ว แรกๆอาจจะดูน่าสนใจ น่าฟัง หรือขำกลิ้งไปเลย ( มีความสุขทั้งผู้เล่นและผู้ชม )
แต่เมื่อผ่านไปหลายๆรอบ หลายๆ คืน ความซ้ำซากจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับตัวผู้เล่นเอง ความสุขที่เกิดขึ้นจากตัวผู้เล่น
และผู้ชมเองจะเท่ากับการเล่นครั้งแรกหรือไม่ ? ( ลองคิดดู ตรรกะง่ายๆ )

เปรียบดังเช่นเพลงแจ๊สทุกวันนี้ มาตรฐานนักดนตรียุคปัจจุบันฟันธงได้เลยว่าสูงกว่านักดนตรีสมัยก่อน ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ แต่ทำไม ?
ผลงานที่ออกมากลับมีความสร้างสรรค์น้อยกว่าสมัยก่อนมาก ! จนบางทีฟังดูแล้วมันคล้ายๆกันไปหมด เหมือนสูตรสำเร็จยังไงไม่รู้...
เรื่องนี้ก็พิสูจน์กันได้ง่ายๆนิดเดียว ลองถามตัวเองสิว่า ผลงานระดับมาสเตอร์พีสที่คุณอยากได้หรืออยากฟัง 10อันดับต้นๆ
เป็นศิลปินในยุคใดมากกว่ากัน ?

เหตุที่ป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า มันเป็นไปตามสมการแห่งความคิดสร้างสรรค์ คือ ทักษะจะแปรผันตรงกับความคิดสร้างสรรค์
แต่ความรู้ในหลักการหรือทฤษฎีจะแปรผกผันกับความคิดสร้างสรรค์ แปลเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่า “ ทักษะสูงก็สร้างสรรค์อะไรได้เยอะ
ทักษะต่ำก็สร้างสรรค์อะไรได้น้อย รู้มากก็กลัว ไม่กล้าเล่น เมื่อไม่กล้าเล่น ต่อให้มีทักษะที่สูงก็ไม่ได้ใช้ เมื่อไม่ได้ใช้ทักษะที่สูง การสร้างสรรค์
งานก็ไม่เกิดขึ้น ในทางกลับกัน ไม่รู้ก็ไม่กลัว ไม่กลัวก็กล้าเล่น เมื่อกล้าเล่น การสร้างสรรค์ก็เกิดขึ้น จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับทักษะ “

เมื่อมาถึงจุดนี้ก็อย่าพึ่งเข้าใจผิดว่า “ ความรู้ในหลักการหรือทฤษฎีเป็นสิ่งไม่ดี หรือไม่จำเป็น หรือเป็นตัวอุปสรรคแห่งความคิดสร้างสรรค์ “
เหตุที่มันเป็นไปตามสมการแห่งความคิดสร้างสรรค์นั้นก็เพราะว่า “ กระบวนการเรียนรู้การศึกษาที่ผ่านมาที่เรานำมาใช้นั้น ไม่เหมาะสมกับ
การพัฒนาเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นหัวใจแห่งงานศิลปะ “ เมื่อรู้เหตุแห่งปัญหาแล้ว ก็แก้ด้วยการเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสม
ในที่นี้ขอเสนอให้ใช้กระบวนการเรียนรู้แบบจับต้น ชนปลาย ซึ่งสามารถศึกษาได้จากหมวดหมู่ ทฤษฎีใหม่แห่งการเรียนรู้ ( ไม่ขอกล่าวในที่นี้ )





***อ้างอิงจาก
http://www.oknation.net/blog/DRAGONFORCE/2007/11/08/entry-1

องค์ประกอบที่สำคัญของดนตรีแจ๊ส

ดนตรีแจ๊สมีองค์ประกอบสำคัญด้วยกัน 3 ประการ คือ

4.1 วิธีการเล่นด้นสดหรือคีตปฏิญาณ(Improvisation)***การเล่นด้นสดคือ การคิดท่วงทำนอง จังหวะ หรือการประสานเสียงในขณะบรรเลง ผู้บรรเลงมีความเป็นอิสระในการที่จะสร้างสรรค์ตัวโน้ต รายละเอียด และสีสันต่างๆ ของท่วงทำนอง และจังหวะขึ้นใหม่ในขณะที่บรรเลงเพลงหนึ่งๆในแต่ละครั้งซึ่งในแนวเพลงแบบอื่นไม่มี หรือถ้าจะมีก็เป็นเพียงแค่บางช่วงของเพลงเท่านั้น อย่างไรก็ตามแจ๊สมิได้เกิดขึ้นโดยการเล่นด้นสดทั้งหมด ส่วนใหญ่ดนตรีแจ๊สมักประกอบด้วยการบรรเลงจากการประพันธ์ประกอบกับการเล่นด้นสด ปกติการเล่นด้นสดเกิดขึ้นโดยผู้บรรเลงดนตรีแปรเปลี่ยนทำนองหลักไป ฉะนั้นรูปแบบของการบรรเลงจึงเป็นธีมและแวริเอชั่นเกิดขึ้นโดยผู้บรรเลงจะเสนอทำนองหลักก่อน จากนั้นเครื่องดนตรีเดี่ยวบางชิ้นจะแปรเปลี่ยนทำนองโดยการเล่นด้นสด บางครั้งการแปรเปลี่ยนทำนองอาจเป็นการบรรรเลงร่วมกันของเครื่องดนตรีเดี่ยว สองหรือสามชิ้น แต่ละตอนของการแปรเปลี่ยนและทำนองหลักมีชื่อเรียกเฉพาะว่าคอรัส(chorus) ดังนั้นเพลงนั้นอาจจะมี 4-6คอรัส เป็นต้น โดยตอนแรกเป็นการเสนอทำนองหลัก

4.2 ลักษณะเฉพาะทางด้านจังหวะ (ที่เรียกว่าสวิง)จังหวะสวิง (swings) เกิดจากการบรรเลงจังหวะตบผนวกกับความรู้สึกเบา หรือลอยความมีพลังผ่อนคลายในที และการรักษาจังหวะให้สม่ำเสมอ โดยปกติเครื่องตี เช่น กลอง แฉ และเบส จะบรรเลงจังหวะตบ อัตราจังหวะของเพลงแจ๊สมักจะเป็นกลุ่ม 4 จังหวะ คือ 4/4 แต่จังหวะเน้นแทนที่จะลงที่บีท 1 และ 3 เหมือนในบทเพลงทั่ว ๆ ไป แต่แจ๊สกลับนิยมลงที่บีท 2 และ 4 ส่วนจังหวะขัดจะลงหนักระหว่างจังหวะตบทั้งสี่ นอกจากนี้การบรรเลงจริง ๆ มักจะยึดค่าตัวโน้ต ไม่ได้ลงจังหวะตามที่เขียนเป็นโน้ตเสียทีเดียว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การบันทึกดนตรีแจ๊สเป็นโน้ตเพลงที่จะให้ถูกต้องจริง ๆ เป็นสิ่งที่กระทำได้ค่อนข้างยาก ด้วยจังหวะการบรรเลงดังกล่าวนี้ ทำให้ผู้ที่ฟังดนตรีมีความรู้สึกอยากเคลื่อนไหวยักย้ายไปตามจังหวะดนตรี ทำนองก็เช่นเดียวกับจังหวะ มักมีการร้องเพี้ยนไปจากเสียงที่ควรจะเป็นไปตามบันไดเสียงเมเจอร์หรือไมเนอร์ที่แจ๊สใช้อยู่เสียงเพี้ยนมักจะต่ำกว่าเสียงที่ควรจะเป็น ตามปกติมักเกิดขึ้นในเสียงตำแหน่งที่ 3,5และ7ของบันไดเสียงลักษณะเช่นนี้เรียกว่า เบนท์หรือบลูส์โน้ต (blues note) สำหรับเรื่องเสียงประสานแม้จะใช้หลักการตามแบบของดนตรีคลาสสิก แต่ได้มีการพัฒนาในเรื่องของการสร้างคอร์ด ( Chord ) แปลก ๆ ขึ้น การจัดเรียงของคอร์ดตามแนวทางของดนตรีแจ๊ส ทำให้การประมานเสียงของดนตรีแจ๊สมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งนี้อาจจะเป็นไปได้ที่ว่า...ดนตรีแจ๊สมีพื้นฐานในแบบของดนตรีบูลส์ (Blues Music) เพราะในดนตรีบูลส์ก็มีการเล่นที่เป็นแบบโน้ตคล้าย ๆ สวิงนี้เหมือนกัน แต่ในบูลส์เรานิยมเรียกการเล่นจังหวะของโน้ตแบบนี้ว่า Shuftle Feel

4.3 ลักษณะความเป็นปัจเจกภาพของนักดนตรีขนบธรรมเนียมของแจ๊ส (Jazz Tradition) เปิดโอกาสให้นักดนตรีสามารถแสดงความเป็นตัวของตัวเองให้ปรากฏได้อย่างชัดแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นลีลาอันนุ่มนวล,แข็งกระด้าง,การทอดเสียง,การสั่นไหว,การแปรทำนอง และเทคนิคต่าง ๆ โดยในขณะเดียวกัน ผู้ฟังที่มีประสบการณ์สามารถจะตระหนักรู้ได้โดยง่ายว่า เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นการบรรเลงของนักดนตรีคนใด

***อ้างอิงจาก http://se-ed.net/kitatann/article/file/jazz04.html

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2550

คำคมวันนี้ 7 ธ.ค. 50

"ใบมีดโกน"

David Carson


david carson ถุงเท้าที่ทุกๆคน ใส่กัน

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Kitschมะ!!!


น่าจะkitschได้บ้างนะ

'รงค์ วงษ์สวรรค์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ Rong Wongsawan



ไปดูเอาตามลิ้งค์ http://www.tuneingarden.com/tv.shtml

พรมแดนทดลอง / มุกหอม วงษ์เทศ



รหัสสินค้า: 000053
ปกติ 165.00 บาท
ราคาพิเศษ 140.00 บาท
ประหยัด 25.00 บาท
พิมพ์ครั้งแรก: พฤษภาคม 2548
โดย: มุกหอม วงษ์เทศ

รายละเอียด: รวมความเรียงคัดสรร 8 ชิ้นจากคอลัมน์ ennui ในนิตยสาร open และเพิ่มบทความพิเศษอีก 3 ชิ้นโดย มุกหอม วงษ์เทศ คอลัมนิสต์ที่ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา บอกว่างานของเธอมีรสชาติอร่อยประหลาด “ทั้งขบกัด อำแอบ และแสบสี” ในขณะที่ ปราบดา หยุ่น ยกย่องให้เป็นตัวอย่างของคนเขียนบทความที่ดี “ซึ่งบ้านเรามีน้อยเต็มที”

"สำหรับข้าพเจ้าแล้ว kitsch ไม่ใช่รสนิยมของชนชั้นล่างเท่ากับรสนิยมแบบชนชั้นกลาง เพราะเพลงลูกทุ่งหรือนิยายประโลมโลกย์มีความเป็น popular culture หรือวัฒนธรรมประชานิยมที่ไม่เสแสร้งเท่ากับความบันเทิงของชนชั้นกลาง ในขณะที่การโชว์ศิลปวัตถุในบ้านเพื่อโอ้อวดฐานะและรสนิยม หรือบรรดาละครเพลงเชิดชูโน่นเชิดชูนี่อันเลิศหรูอลังการ เป็น kitsch เต็มรูปแบบ"


คัดลอกจาก http://www.onopenbooks.com/product.detail_0_th_609029#

"รักชาติ ต้องใช้หนี้"



เป็นการล้อเลียน เอามันส์เท่านั้น postmodern มะ HAHA

kitschเท่าไรkitschไม่ออกสักที~~~~

ไม่มีไรมากแค่kitschไม่ออก

Postmodern Graphic Design:ในทัศนะ สรสิทธิ์ฯ

เพราะความที่มันยังไม่มีอะไร "ชัดเจน" และตัวข้าพเจ้า
ยังงุนงงงวยซวยอ่ะดิ (จะยกตัวอย่างอะไรดีมาให้ อ.ดู)
และมีคำศัพท์สแลงมากมายสำหรับงานในแนวนี้!!!!
.........ยอมรับโดยดีว่า ข้าพเจ้ายังจำแนกงาน
ออกแบบในแนวนี้ไม่ออก (พูดจริง!!!)แต่ถ้านำแนวคิด
ของมันมาเป็นตัวกำหนดแนวทางของงานที่จะออกแบบ ก็คงจะ
ทำให้ได้อะไรมาบ้าง รึปล่าว?

Postmodern:ยุคหลังสมัยใหม่ (ในทัศนะ สรสิทธิ์ฯ)

ข้าพเจ้าเข้าใจรึอาจจะไม่เข้าใจมัน มากนักสักเท่าไหร่
และข้าพเจ้ารับรู้แนวคิดทฤษฎี ของมันจนบางครั้งทำให้
ข้าพเจ้ารู้สึก "เอียน"หรือที่ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนี้ มันอาจ
เป็นการบ่งบอกได้ว่า ตัวข้าพเจ้าได้ถูกหล่อหลอมเข้าไป
ใน "ยุคหลังสมัยใหม่" นี้แว้วว HAHA...เหรอ?
และ "ทฤษฎีถ้าเรายึดติดมันเกินไปก็ดูจะรัดตัวเอาซะได้
ยืดหยุ่น บ้างพองามน่าจะสบายๆกว่า...ว่ามะ"

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2550

This Is England:หนังเหยียดผิวสไตล์ผู้ดีอังกฤษ



ข้าพเจ้าดูดีวีดีเรื่องนี้แบบโง่ๆ คือ ดูแบบ subsอังกฤษ
แต่ไม่เป็นไร พอรู้เรื่อง 555+
หนังว่าด้วยนโบายที่เสื่อมของ มากาเรตต์ แทชเชอร์ และเรื่องของพวกแก็งสเตอร์
และ เด็กน้อยผู้อยากเค้าร่วมแก็งค์เพื่อเป็นพวก skinhead แต่สุดท้าย
หัวหน้าแก็งค์ดันไปเมากัญชาและกระทืบเพื่อนผิวสีซะเละ เด็กน้อยจะทำอย่างไร
แล้วเค้าจะเลือกสิ่งไหน ระหว่าง
"ความเป็นอังกฤษเข้าเส้น"หรือ "ความมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมประเทศ"
ไปหาาดูกันเอาเอง

กำกับโดย:Shane Meadows

Understanding design concept

สิ่งที่ได้จากวิชานี้ ข้าพเจ้าขอตอบเพียงสั้นๆว่า
ทำให้ข้าพเจ้า “คิดมาก” ขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน
ส่วนความรู้สึกนั้น วิชานี้ ทำให้เราได้แลกเปลี่ยน
ความคิดเห็นกันมากขึ้น ถึงแม้จะพูดกันน้อยไป
หน่อย (HA-HA)

จบไปอยากทำอะไร…สรสิทธิ์ สมรูป ตอนที่ 2

ข้าพเจ้าอยากเป็นนักออกแบบ

ที่ - มีจรรยาบรรณ
แบบ - ไม่หลอกลวงลูกค้า
อย่าง - ที่มันสมควรจะเป็น

จบไปอยากทำอะไร…สรสิทธิ์ สมรูป

ข้าพเจ้ามีความฝันและสิ่งที่อยากจะทำอยู่หลายอย่าง มีทั้งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสายที่ได้เรียนมาและอีกมากที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ได้เรียนมา แต่ทั้ง 2 อย่างก็เป็นสิ่งที่อยากจะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาเท่าๆ กัน
ข้าพเจ้าเลือกเรียนสายออกแบบ communication design ด้วยเหตุผลที่อาจจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่นัก คือ ข้าพเจ้าเห็นงานต่างๆที่ได้แพร่หลายออกมานั้น มันดูเป็นสิ่งที่ แปลกใหม่ สำหรับตัวข้าพเจ้ามาก
ซึ่งใน ณ ขณะนั้น ข้าพเจ้าเพิ่งจะศึกษาอยู่ในแค่ระดับ มัธยมศึกษา ปีที่ 4 เท่านั้น และความแปลกตา ของงานออกแบบ communication design ก็ทำให้ตัวข้าพเจ้าเกิดความอยากที่จะทำ และเกิดแรงบันดาลใจบางอย่างที่รู้สึกว่า ตัวเอง น่าจะทำมัน ได้บ้าง มันเลยอาจจะดูเป็นทางออกใหม่สำหรับตัวข้พเจ้า ที่โดยสันดานเป็นคนที่เรียนไม่เก่ง และ สอบได้คะแนนต่ำๆ มาโดยตลอด (HA-HA) และก็ได้ลองหาข้อมูลว่าสถาบันไหนใน ประเทศไทยนั้นมีการเรียนการสอนคณะนี้อยู่บ้าง ม.กรุงเทพ และ ม.รังสิต เป็น 2 ตัวเลือกที่ข้าพเจ้าลังเล อยู่ว่าจะเลือศึกษาที่มหาลัยไหนดี จนในที่สุดก็เลือก มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เพราะเห็นงานของ นศ. จาก ม.กรุงเทพ ช่วงนั้นได้ปรากฏ
อยู่ตามหน้าหนังสือ magazine เด็กแนว อย่าง a day อยู่บ่อยๆ (HA-HA)
ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้มาศึกษาอยูใน ม.กรุงเทพ ได้ แบบที่คิดฝันไว้ประมาณนึง การศึกษา ระหว่างปี 1-2 นั้น
ข้าพเจ้าคิดว่าไม่หนักหนาอะไรมากหนักและดูปกติทั่วไปๆ จนเริ่มขึ้น ปี3 เทอม 2 ได้เรียน communication design 4 และรู้สึกว่าคำว่า communication นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตมนุษย์ทุกคนในสังคม มันป็นสิ่งที่ทำให้เรา สื่อสาร และเข้าใจร่วมกันได้ นอกจากการใช้ภาษา และมันเป็นสื่อที่เป็นเครื่องมือ ที่ช่วยเหลือ และ เป็นช่วงทางในการนำเสนอ สิ่ง ที่คนกลุ่มใหญ่ อาจไม่เข้าใจได้ชัดเจน ให้กลายเป็นสิ่งที่เข้าใจร่วมกันได้
ขณะนี้ ข้าพเจ้า ศึกษาอยู่ ปี 4 และอาจจะเริ่มเข้าใจคำว่า communication มากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติอาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จนัก (HA-HA) แต่ทำให้ตัวข้าพเจ้า เข้าใจ มากขึ้นว่า มันมีความหมายกว้างมาก และไม่ได้จำกัดอยู่แค่ว่าต้องเป็นงานที่ตอบสนองเฉพาะสายโฆษณาเพียงเท่านั้น มันเป็นได้หลายอย่างอยู่ที่ว่า ตัวเราจะเลือกสื่อมันออกมาในรูปแบบ และ เนื้อหา เพื่อคน กลุ่มไหน อย่างไร....ว่าไป
ถ้าข้าพเจ้าศึกษาจนจบจนได้ ข้าพเจ้าอยากทำงานที่ใช้ความป็น communication design เป็นเครื่องมือที่อยากพยามยามสื่อให้คนกลุมใหญ่ได้รับรู้ ถึง ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเรา นำเสนอสิ่งที่ผู้คนมักจะมองข้ามไป ทั้งๆที่อาจจะมันเป็นบ่อเกิด ของ ปัญหา ใหญ่ๆในสังคม แต่ในแน่ใจนักว่า อาชีพ อย่างนี้มันมีรึปล่าว?
ข้าพเจ้าไม่ชอบงานโฆษณา และคงไม่เลือกที่จะร่วมเส้นทางกับสิ่งนั้นแน่นอน (แน่นอน) แต่อย่างจะใช้สื่อโฆษณา เพื่อต่อต้าน โฆษณา (งงมะ?) อย่างให้คนรับรู้ว่า การตกเป็นทาสของสื่อเป็นยังไง และ ชีวิตประจำวัน จน ไปถึง ไลฟ์สไตล์ ที่แม่ง แทบ จะ copy copycopypyppy copy ของ copy cpopy กันมานั้น มันมาจากการป้อนของโฆษณา ที่เน้นการขาย ทั้งนั้น จนมันกลายเป็น วัฒนธรรมไป...ซะงั้น
ข้าพเจ้า อยากให้คน ในสังคมรู้ ว่า ไม่มีใครคิด หรือ ใช้ชีวิตแบบนั้น เหมือนกันหมด ยังมีคนอีกกลุ่มๆนึง
ซึ่งเป็น ส่วนน้อย ของ สังคม และยอมรับที่จะเป็นรองกระแสหลัก อยากที่จะช่วยเหลือ สังคม ที่เกิน เยียวยา
และอยากให้เป็นการ เตือนสติ ผู้คน ในสังคมที่คงเปลี่ยนแปลงได้ยาก...ส์ ถ้าการเตือนสติ สามารถส่งผลอะไร เล็กๆน้อยๆ หรือ แค่ผู้คนเก็บมันเอาไปคิดบ้าง ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ มากโข เลยทีเดียว........(HA-HA)
ข้าพเจ้าอย่างเป็น นักออกแบบเพื่อสังคม (เท่มะ) …แต่คงเหนื่อยน่าดู ไม่เป็นไรแต่ได้ใช้กำลัง ที่กล่าวมายืดยาว
นี่แหละ คือ สิ่ง ที่ข้าพเจ้า “อยากจะเป็น” (นอกจาก Dj และ ช่างภาพ และท่องที่ยว และ...อื่นๆอีกมากมาย)

สิ่งใกล้ตัวที่มองข้าม

อิฐบล็อกตัวหนอนหน้าคณะ



อย่างที่ อ.เคย บอกมันเป็นสิ่งที่เราเห็นทุกวันๆๆๆ
แต่เรากลับจดจำรูปร่าง มันไม่ได้ 555

GREAT WAVE





เป็นงาน วิชา 3D โจทย์ "เล่นกับพื้นที่" จับคู่ กับ นาย เอกราช
คอนเซป ประมาณว่า ให้ ช่วยประหยัดน้ำ อะไรสักอย่าง ลืมๆแล้ว
แต่จำได้ว่า ได้ 10 เต็ม ขอโม้วว หน่อย จำได้ว่าวงทุนปริ้น
ขนาด เอ 3 เพียง 2 บาท แต่ได้ 10 คะเเนน

คำคมๆของ รงค์ วงสวรรค์

* ระบบการศึกษาล้าหลังและความเฉื่อยชาของรัฐบาล ซึ่งผมอยากพูดว่าเป็นการคุมกำเนิดทางความคิดและปัญญา

* ความโลภมันกระโดดขึ้นไปเกาะอยู่บนหนังตาของทุกคน จนมองไม่เห็นความวอดวายที่ยืนรออยู่อย่างหิวกระหาย

* ช่องว่างระหว่างฐานะของบุคคลย่อมจะมีอยู่เสมอ ไม่ว่าในแห่งหนไหน (เราคิดอย่างนั้น) และเราจึงไม่เป็นทาสแห่งโมหจริตโดยมีปมด้อยเป็นฝ่ายยุยง

* การกังวลมันก็เหมือนกับนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก คุณรู้สึกว่ากำลังเคลื่อนไหว แต่มันไม่เคยพาคุณไปถึงไหนได้เลย

* การมองเข้าไปในความหลังก็เช่นเดียวกับการอ่านหนังสือที่ยังไม่ได้เขียน

* นักเขียนไม่มีสิทธิ์เป็นคนแปลกหน้ากับผู้อ่าน

* บาร์เท็นเดอร์ไม่มีสิทธิ์เป็นคนแปลกหน้ากับคนกินเหล้า

* ความโกรธเป็นลมพัดไฟในตะเกียงความคิดดับ !

* ศัตรูที่มีคุณธรรม มีค่ามากกว่าเพื่อนสับปลับ

* พรุ่งนี้มันเป็นคำแก้ตัวดีที่สุดของคนเกียจคร้าน มันเป็นความหวังของคนที่เดินทางผ่านวันวานมาอย่างสะเพร่า

* เวลา มันหาได้มีสาระมากไปกว่าเป็นเพียงความว่างเปล่าที่ยืนรออยู่อย่างหิวกระหายเพื่อให้ผู้คนได้บรรจุเหตุการณ์ลงในมัน

* เวลามันไม่เคยมีอาวุธไว้ป้องกันตัวเองจากความโหดร้าย

* ความเมตตาเป็นอาวุธเพียงชนิดเดียวในการเข่นฆ่าความจน

* เมื่อเด็กวิ่งไปบนความรื่นเริง นั้นเป็นความบริสุทธิ์ที่ผู้ใหญ่จะต้องซ่อนความละอายไว้ในความอิจฉา

* ความขุ่นหมอง มันเริ่มต้นจากความวังเวงราวกับหัวใจโดนแขวนไว้กับเส้นด้ายเปื่อยในเวิ้งว้างของโพรงอก

* ศัตรูที่ร้ายกาจของคนก็คือคนด้วยกัน

* ความจนกับความจริงใจเป็นมือขวาและมือซ้ายของกันและกัน

* เวลามันเป็นเพียงชะลอมที่วางท้าทายให้ผู้คนเอาความโง่เขลาของตนเติมลงไปแทนน้ำ

* กลางคืนยาวนานเพื่อให้เรามีโอกาสเรียนรู้ถึงวันพรุ่งนี้

* ยากเหลือเกินที่คนเราจะหนีความเหงา มันร้ายยิ่งกว่าเงาหรือเจ้าหนี้

* เวลามันเป็นกับดักที่ขึงขวางไว้ระหว่างการเกิดกับความตาย

* คนเราสูงเท่ากันเสมอบนเตียงนอนและในหลุมศพ

2 Days In Paris จะรักจะเลิกเหตุเกิดที่ปารีส

แจ็ค (อดัม โกลด์เบิร์ก) ชายหนุ่มมัณฑนากรที่ประสบความสำเร็จในด้านหน้าที่การงาน ซึ่งไม่แพ้กับมาเรียง(จูลี เดลพี) ช่างภาพสาวที่มากด้วยประสบการณ์และฝีมือเป็นที่ยอมรับและกล่าวขวัญ ทั้งคู่แต่งงานกัน แต่ดูเหมือนว่าชีวิตการแต่งงานของทั้งคู่ดูจะไม่ฉลุยเหมือนหน้าที่การงานของทั้งคู่เลยสักนิด ทั้งคู่นั่งทะเลาะกันทุกวัน และความหวานซึ้งโรแมนติคที่มีให้แต่ก่อนมาตอนนี้ก็ดูท่ามันจะลดน้อยถอยลงไปทุกที ทั้งคู่จึงคิดที่จะเยียวยาความรักให้มีขึ้นมาใหม่ด้วยการตัดสินใจไปฮันนี้มูนรอบสองที่เมืองเวนิช แต่เรื่องราวมันไม่ได้เป็นเช่นที่วาดฝันว่าจะกลับมารักกันเหมือนเดิมเรื่องราวกลับแย่ลงกว่าเดิม มาเรียงจึงตัดสินใจที่กลับบ้านที่ปารีส ส่วนแจ๊คก็ไม่มีทางเลือกก็ยังต้องตามมาเรียงกลับไปที่ปารีส และที่ปารีสเมืองนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทั้งคู่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ภาพยนตร์โรแมนติกอินดี้ที่เปิดตัวสูงสุดในฝรั่งเศสเหมาะสำหรับคู่รักที่นิยมการทะเลาะกันเป็นอย่างยิ่งเพราะเมื่อชมแล้วคุณอาจจะคิดได้ว่าคุณควรจะรักต่อไป หรือจะเลิกกับเขาและเธอเลยดี



คัดลอกมาจาก
http://www.movieseer.com/MovieProfileBil.asp?moID=6292&Channel=1

ไอ้เหีย


จริงๆมัน คือ วรรณยุกต์ ลอย ต่างหากแต่เรามักติดปากกันว่า สระ ลอย

แยกร่าง




-
-
-
-
-
-
........เซนแยกร่าง จิงก็มีคนเดียวน่ะแหละแต่ข้าพเจ้าอยากแยกร่างดูเฉยๆ

แสง ลึกลับ ณ ตลาดสด บางแค



-
-
-
-
-
-
-
.........จริงมันคือ แสงสะท้อนที่มาโดนถุงพลาสติกเองแค่นั้นแหละ
แต่ข้าพเจ้าเห็นมันประหลาดดีเลยถ่ายเก็บไว้

myspace.com: พื้นที่ของฉันในการสร้าง connection (ที่ดี???)

ถือว่าเป็นอะไรที่ เดิ้นสุดๆ มากในขณะนี้ สำหรับ myspace เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้เรา(ทุกคน)ได้มีอะไรที่อยากจะ "โชว์" นำมาแสดงให้ เพื่อนๆ ในโลก network ได้ดู-ชม กันเป็นขวัญตา และยังสามารถ ติชม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ง่ายๆ โดยการ commentนอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่สามารถสื่อให้คนอื่นได้รับรู้ถึงสไตล์ของแต่ละคน ได้อย่าง "ชัดเจน"และทำให้ กทม.กลายเป็นแหล่งของกลุ่มคลั่ง Party ไปเสียแล้ว ที่ว่ามาทั้งหมดไม่ได้มี อคติ อะไรกับ myspace แต่มีมุมมอง ในเรื่องของ connection ที่ได้มาหลังจากสร้างสังคมกันใน myspaceแล้วต่างหาก ว่ามันเป็นเป็นเครื่องมีอที่ "พิสูจน์" ตัวเราได้จริงๆ รึปล่าว รึว่ามันเป็นเพียง connection ที่ "ง่าย" เกินไป ?
ปล. วันนี้คุณ comment แล้วหรือยัง?

ปรากฏการณ์ “ ผีเสื้อขยับปีก ”

ผีเสื้อขยับปีกหนึ่งครั้งมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติอาจนำไปสู่หายนะของโลกในอีกหลายหมื่นปีข้างหน้า

ราว 43 ปีที่แล้ว เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ลอเรนซ์ นักคณิตศาสตร์ และนักอุตุนิยมวิทยาชาวสหรัฐ ผู้บุกเบิกทฤษฎีโกลาหล (Chaos Theory) ยุคแรกๆ ได้เขียนรายงานลงในวารสารวิทยาศาสตร์ว่า "นักอุตุนิยมคนหนึ่งถึงกับเอ่ยว่า ถ้าทฤษฎีนี้ถูกต้อง การขยับปีกของนกนางนวลหนึ่งครั้งอาจทำให้อากาศเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล" งานเขียนในลำดับต่อมา ลอเรนซ์เปลี่ยนจากนกนางนวลมาเป็น ผีเสื้อขยับปีก ซึ่งฟังดูเพราะกว่า


“ผีเสื้อขยับปีก” เป็นวลีง่ายๆ ที่ใช้อ้างถึงทฤษฎีโกลาหล ซึ่งมีความละเอียดทางเทคนิคทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนและเข้าใจยากกว่ามากนัก โดยตัวทฤษฎีเองกล่าวถึง ตัวแปรเล็กน้อยที่เป็นเงื่อนไขแรกของระบบที่เชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ อาจส่งผลต่อตัวแปรขนาดใหญ่ในพฤติกรรมระยะยาวของระบบได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผีเสื้อขยับปีกหนึ่งครั้งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศ ซึ่งสุดท้ายแล้วจะส่งผลให้เกิดพายุทอร์นาโด (หรือไม่เกิดหากผีเสื้อสูญพันธุ์) เท่ากับว่า การขยับของปีกผีเสื้อ แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในเงื่อนไขของระบบนิเวศ แต่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ที่นำไปสู่ปรากฏการณ์ขนาดใหญ่

Malcolm X - มุสลิมอเมริกัน นักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ


เรื่องราวชีวิตของ Malcom Xน่าสนใจเป็นอย่างมาก คนๆนี้ ถือได้ว่าเป็นคนที่มีอิทธิพลสูงมากในอเมริกาช่วง 1960s จากชีวิตที่เลวร้าย ทำให้เค้าต้องเข้าคุก และที่นั่นเค้ารู้จักอิสลามเป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่าจะเป็นอิสลามกลุ่ม Nation of Islam ซึ่งหลักอาอีดะแปลกๆ เป็นอิสลามสำหรับคนผิวดำ แล้วก็มีอะไรอีกหลายอย่างที่จะเพี้ยนๆไปซะหน่อย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มมุสลิมที่เกลียดคนผิวขาวในอเมริกาเป็นอย่างมาก สำหรับ Malcom X เอง เมื่อเวลาผ่านไปเค้าเริ่มเข้าใจถึงปัญหาและสิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้น เค้าเป็นคนที่พยายามจะเปลี่ยนอเมริกากับความคิดเหยียดผิวสู่ความเท่าเทียมกัน เท่าที่ตามอ่านประวัติเค้า Sunshine คิดว่า ถ้าเค้าไม่ถูกลอบสังหารซะก่อน เค้าอาจจะได้เป็นถึงผู้นำอเมริกาผิวดำคนแรกก็เป็นได้
เค้ามีโอกาสไปทำฮัจย์และเจอมุสลิมที่ประเทศต่างๆ จากประสพการณ์ไปทำฮัจย์ของเค้า ทำให้เค้าเข้าใจอิสลามมากขึ้น อิสลามที่เป็นศาสนาของคนทั้งโลก อิสลามที่ไม่ว่าคุณจะสีอะไร ชาติอะไร เราเหมือนกัน เราเป็นพี่น้องกัน หลังจากที่เค้าเดินทางกลับจากฮัจย์ ทุกคนให้ความสำคัญเค้ามาก แต่สุดท้าย เค้าก็ถูกลอบสังหาร จริงๆแล้ว ตอนนี้ก็ยังเป็นที่สงสัยว่า คนที่สั่งฆ่าเค้า เป็นคนจากทางการ หรือจาก Nation of Islam กันแน่? กลุ่มหลังนี่ มีความเป็นไปได้ไม่น้อย เพราะ Malcom X เองเริ่มเปิดโปงความพิลึกกึกกือของอิสลามกลุ่มนี้ ...(อัลลอฮฺท่านรู้ดีที่สุด)


สุดท้ายแม้ว่าเค้าจากไปนานแล้ว แต่ประวัติของเค้า ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของเค้าเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆคนมาแล้ว ทำให้คนเหล่านั้นเกิดความสนใจอิสลามและเข้ารับอิสลามในที่สุด

คัดลอกจาก
http://www.muslimthai.com/forum/index.php?topic=1482.msg18653

จินตนาการ(ในความหมายของ ข้าพเจ้า สรสิทธิ์ สมรูป)

ดั่งที่ได้คุยกันใน class สัปดาห์ที่แล้ว 12 ก.ย .50 นั้น คำว่า "จินตนาการ" เป็น คำที่เราได้ยิน และ อาจจะเรียกได้ว่า "คุ้นเคย" กับ คำๆ นี้มามากแน่ๆนอนๆ แต่มันกลับเป็นคำที่เราไม่เคยนำกลับมาขบคิดกับตัวเองจริงๆจังๆ สักทีเลยว่าคำๆนี้ มันมี "ความหมาย" กับเรายังไง?
ข้าพเจ้า สรสิทธิ์ สมรูป ก็ได้ลองใช้ความเป็นตัวเอง เพื่อคุย กับ ตนเอง ถึงคำว่า จินตนาการ ว่าคำนี้
ในแบบของ ตนเอง (สรสิทธิ์ สมรูป) มันเป็นเช่นใด? และได้ความว่า
จินตนาการ เป็น สิ่งที่ต้องอาศัย ประสบการณ์ / การใช้ชีวิต / การมองโลก / การขบคิดกับตนเอง
และอื่นๆอีกมากมาย ประกอบกันไป เพื่อ ลบภาพสิ่งเก่าๆ ที่เคยผ่านพบมาทั้งในชีวิต และ ในความคิด เพื่อนำมันกลับมาคิดต่อในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ (ฟังดูยิ่งใหญ่) และอาจจะเป็นสิ่งที่มี สาระ หรือ ไม่มีสาระ ( ไร้สาระ) ก็เป็นได้ และคงดูไม่เสียหายอะไร
ข้าพเจ้า สรสิทธิ์ สมรูป จะพยายามลองยกตัวอย่างเหตุการณ์ให้ดูง่ายขึ้นและเข้าใจง่ายขึ้น ดั่งนี้

วันหนึ่ง ซึ่ง นานมาแล้ว ไม่มาก ข้าพเจ้า สรสิทธิ์ สมรูป ได้นั่งดูนั่งชม การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลในลีกๆ นึง ในอังกฤษ(พรีเมียลีก) เกมดำเนินไปได้สัก 4-5 นาที อีกฝ่ายที่ทำเกมบุกขึ้นมาจนถึงแดนฝ่ายตรงข้าม ได้มีจังหวะสุดท้ายในการบุก และได้สับไก ยิง หวังหมาย จะซัลโวให้เข้าประตู แบบ ตุงตะข่าย แต่ลูกก็ไม่ตรงเป้าเฉียดข้างเสาออกไป ลูกออกนอกหลังสนามไป ผู้รักษาประตูเดินไปเก็บลูกเพื่อจะนำมาเตะข้ามแดนเป็นการเปิดเกม ณ เวลานี้ ข้าพเจ้า สรสิทธิ์ สมรูป ได้บังเกิดความคิดบางอย่าง ว่า ถ้าการเตะเปิดเกม ของผู้รักษาประตูนั้นเป็นการเตาะที่ทรงพลังและผิดมนุษย์มนา จนทำให้ลูกฟุตบอลนั้นไปไกลกว่าสนามที่แข่งขันและลอยข้ามฝากข้ามทวีป ไปไกลเกินไกล แล้ว ผลของมันจะเป็นยังไง...?


ที่ยกตัวอย่างมานี้ จินตนาการ ใน ความหมายของ ข้าพเจ้า สรสิทธิ์ สมรูป เป็นไปในแบบที่อาจจะเรียกว่า เพ้อฝัน / เพ้อเจ้อ / เหนือจริงเกินจริง / ไม่สมเหตุสมผล หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่ได้ผ่านกระบวนการคิด การมอง ในตัวในสมองของ ข้าพเจ้า สรสิทธิ์ สมรูป แล้ว และนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ มี สาระ หรือ ไม่มีสาระ ( ไร้สาระ) ก็เป็นได้ ถ้าหากลองนำสิ่งที่ จินตนาการ ไว้กลับมาคิดต่อ ก็คงอาจจะมีประโยชน์อะไร บางอย่างก็เป็นได้ หรืออาจจะนำแนวความคิดนั้นนำเสนอมาเป็นงานออกแบบอะไรสักอย่างก็คงจะดี

มะนาวต่างดุด




วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2550

เครื่องปรับอากาศ conditioner: ผลพวงของนวัตรกรรม

โลกเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และโลกก็ประกอบไปด้วย ธาตุ+น้ำ+อากาศ ละสิ่งเหล่านั้นก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติเช่นกัน โลกเราแบ่งแบ่งอออกเป็น 6 ทวีป แต่ละทวีปก็มีสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันออกไป
มนุษย์เรามักจะต้องการที่เอาชนะธรรมชาติเป็นสันดานที่ติดตัวมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ยิ่งยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้นเท่าไหร่ มนุษย์เราก็ดูจะไม่เป็นมิตรและพยายามจะทำลายธรรมชาติมากขึ้นๆ อย่างเช่นการพยายามเปลี่ยนแปลงหรือจำลองสภาพอากาศนั้นเมื่อมองกันแบบผิวเผินอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมาดาไปแล้วก็เป็นได้ คงต่างจากเวลาที่เรามองนกเพนกวินในตู้แช่แข็งที่สวนสัตว์สักแห่งในกรุงเทพ

เครื่องปรับอากาศ conditioner (ฟังแค่ชื่อก็ดูน่ากลัว)
เครื่องปรับอากาศ หรือเรียกเป็นภาษาพูดว่า แอร์ (อังกฤษ: air conditioner, aircon) คือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้สำหรับปรับอุณหภูมิของอากาศในเคหสถาน เพื่อให้มนุษย์ได้อาศัยอยู่ในที่ที่ไม่ร้อนหรือไม่เย็นจนเกินไป หรือใช้รักษาภาวะอากาศให้คงที่เพื่อจุดประสงค์อื่น เคหสถานในเขตศูนย์สูตรหรือเขตร้อนชื้นมักมีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อลดอุณหภูมิให้เย็นลง ตรงข้ามกับในเขตอบอุ่นหรือเขตขั้วโลกใช้เพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้น (อาจเรียกว่า เครื่องทำความร้อน) เครื่องปรับอากาศมีทั้งแบบตั้งพื้น ติดผนัง และแขวนเพดาน ทำงานด้วยหลักการการถ่ายเทความร้อน กล่าวคือ เมื่อความร้อนถ่ายเทออกไปข้างนอก อากาศภายในห้องจะมีอุณหภูมิลดลง เป็นต้น และเครื่องปรับอากาศอาจมีความสามารถในการลดความชื้นหรือการฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ด้วย

นี้คือข้อความที่อธิบายนวัตรกรรมที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์สักตนนึง อธิบายถึงข้อดีของสิ่งที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่มนุษย์ด้วยกันเอง สิ่งเหล่านี้คือความก้าวหน้านึงของมนุษย์ที่พยายามจะอาชนะธรรมชาติ
โดยการจำลองสภาพอากาศเพื่อความสุขสบาย...
ในยุคสมัยที่สภาพอากาศยังปกติ และยังดูเป็นมิตรกับมนุษย์ สายลม/แสงแดด เป็นสิ่งที่มนุษย์ยังกล้าเผชิญโดยไม่หลีกหนียังเป็นสิ่งที่มนุษย์รุ่นผมยังรู้สึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นได้ ต่างจากยุคสมัยนี้ที่แสงแดด ตอนเวลา 5 โมง เย็นนั้น ยังสามารถทำให้เรารู้สึกแสบระคายเคืองผิวกายได้อย่างชัดเจน
สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปล้วนเกิดจากน้ำมือของมนุษย์เราทั้งสิ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย,กระแสน้ำอุ่น-น้ำเย็นไหลเวียนกันอย่างผิดปกติ,อุณหภูมิที่เพิ่มองศาเซลเสียสขึ้นทุกวันๆ,สภาวะเรือนกระจก,สภาวะโลกร้อน สิ่งเหล่านี้คือผลพวงจากน้ำมือมนุษย์เราทั้งสิ้นที่ทำลายสภาพอากาศด้วยระบบอุตสาหกรรม,นวัตรกรรม,แลพการพยายามทดลองใหม่ที่ยังอาศัยการเผาพลาญพลังงานอยู่เช่นเดิม มนุษย์เราพัฒนานวัตรกรรมใหม่ๆขึ้นมาทุกวัน เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง,ความสะดวกสบาย,ความรวดเร็ว มนุษย์ทำสิ่งเหล่านี้เพื่อที่จะหาความสมดุลในตัวเอง มีหลายสิ่งที่ดูมากเกินไป และ เกินความจำเป็นเกินไปสิ่งเหล่านั้นได้ทำลายๆอย่างลงไปรวมทั้งตวามเป็นตัวตนของมนุษย์เอง และสิ่งที่มนุษย์เราได้ทำลายลงไปมากที่สุดนั้นก็ คือ ธรรมชาติ

คลังบทความของบล็อก